Detail
Discount
Help

 >  บทความ  >  อาการหนาวสั่น เกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร

อาการหนาวสั่น เกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร

11 ธ.ค. 2568

อาการหนาวสั่นมีสาเหตุมาจากอะไร อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการของโรคที่อันตรายร้ายแรงหรือไม่ ลักษณะของอาการหนาวสั่นแต่ละประเภทคืออะไร หลายคนอาจรู้สึกว่า “แค่ห่มผ้าก็น่าจะหาย” แต่จริงๆ แล้วอาการหนาวสั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคสำคัญบางอย่างได้เช่นกัน

มาทำความเข้าใจกับอาการนี้กันอย่างละเอียด เพื่อสังเกตความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่เนิ่นๆ และป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อจากอาการนี้

 

อาการหนาวสั่นคืออะไร? อันตรายหรือไม่

อาการหนาวสั่นคืออาการที่ร่างกายรู้สึกเย็นผิดปกติ ตัวสั่น ขนลุก แม้บางครั้งอากาศรอบตัวจะไม่ได้หนาวมากก็ตาม มักเกิดจากการที่ร่างกายกำลังตอบสนองต่อสิ่งผิดปกติ เช่น การติดเชื้อ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด หรือความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด

ในหลายกรณีอาการหนาวสั่นอาจไม่อันตรายร้ายแรง แต่อาจเป็น “สัญญาณแรก” ของโรคที่ต้องรีบรักษา เช่น การติดเชื้อรุนแรงหรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ไข้สูง หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือปวดท้องมาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

ลักษณะของอาการหนาวสั่น

 

 

ลักษณะของอาการหนาวสั่นเกิดจากการตอบสนองของกล้ามเนื้อในร่างกายที่เกิดการหดและคลายตัวซ้ำๆ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้นและทำให้รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น เป็นกลไกหนึ่งของร่างกายในการปรับตัวเมื่อ “รับรู้” ว่าอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ หรือกำลังเผชิญกับการติดเชื้อ

  • อาจเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อโรคอื่นๆ
  • อาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ตัวสั่น ปากสั่นจนฟันกระทบกัน ขนลุก และมักมาพร้อมอาการไข้ร่วมด้วย
  • บางรายอาจรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อ ตัวอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายร่วมด้วย
 

สาเหตุของอาการหนาวสั่นที่พบบ่อย

สาเหตุของอาการหนาวสั่นนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ใช่เพียงแค่หนาวสั่นเพราะมีไข้เท่านั้น เวลาเกิดอาการแต่ละครั้ง หากพอจะสังเกตสาเหตุเบื้องต้นได้ จะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าควรรีบไปพบแพทย์หรือไม่ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น

1. การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคอื่นๆ

อาการหนาวสั่นมักเป็นอาการตอบสนองของสมองและระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายพบการติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคอื่นๆ ร่างกายจะพยายาม “เพิ่มอุณหภูมิ” เพื่อช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นและทำลายเชื้อโรคเหล่านั้น อาการหนาวสั่นจากการติดเชื้อที่พบได้บ่อย เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือโรคอย่างมาเลเรียในบางพื้นที่

2. การติดเชื้อจากนิ่วในไต

อาการหนาวสั่นอาจเกิดจากการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต ในกรณีที่ร่างกายมีแร่ธาตุหรือเกลือแร่จับตัวกันเป็นก้อนแข็งจนเป็นนิ่ว และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนขัดขวางระบบทางเดินปัสสาวะ ก็ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ นอกจากอาการหนาวสั่นแล้ว มักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลัง ปวดท้อง ปวดขาหนีบ เจ็บเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะมีเลือดปน

3. น้ำตาลในเลือดต่ำ (โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน)

อาการหนาวสั่นที่เกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำ มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและต้องใช้ยาหรืออินซูลินควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดเวลา หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายจะมีพลังงานไม่เพียงพอ เพราะต้องการกลูโคสในการเปลี่ยนเป็นพลังงาน เมื่อเปลี่ยนกลูโคสได้ลดลง อุณหภูมิของร่างกายจึงต่ำลง ทำให้เกิดอาการหนาวสั่น

  • อ่อนเพลีย ง่วงบ่อย
  • เหงื่อออกมากกว่าปกติ
  • คลื่นไส้ หิวบ่อย หิวถี่
  • รู้สึกใจสั่น หรือมีความวิตกกังวลสูงผิดปกติ

4. ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ

ต่อมไทรอยด์มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้อุณหภูมิร่างกายอบอุ่น และช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล หากต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ (ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ) ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายต่ำลงและเกิดอาการหนาวง่ายหรือหนาวสั่นได้

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • ท้องผูกบ่อย
  • ผิวแห้ง ผมร่วง
  • อารมณ์ซึมเศร้า ไม่ค่อยมีแรงจูงใจ

หากมีหลายอาการร่วมกันต่อเนื่อง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์อย่างละเอียด

 

อาการหนาวสั่นแบบไหนที่ต้องไปพบแพทย์แล้ว

 

 

อาการหนาวสั่นมีหลายระดับ และมีสาเหตุแตกต่างกันไป บางครั้งอาจเป็นเพียงปฏิกิริยาชั่วคราวของร่างกาย แต่บางกรณีอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลทันที

  • หนาวสั่นร่วมกับ หายใจลำบาก หายใจมีเสียง หรือรู้สึกแน่นหน้าอก
  • เจ็บหน้าอกอย่างเฉียบพลัน ไม่มีสาเหตุชัดเจน
  • ปวดท้องรุนแรง หรือปวดหลังมากผิดปกติ
  • รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมากกว่าปกติจนทำกิจวัตรไม่ได้
  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในเด็กเล็ก (ต่ำกว่า 3 เดือน) หรือผู้สูงอายุ
  • มีประวัติเป็นโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ หรือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

แม้บางครั้งอาการหนาวสั่นจะหายได้เอง แต่หากไม่มั่นใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย การปรึกษาแพทย์คือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

 

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการหนาวสั่น

การดูแลตัวเองเบื้องต้นสามารถช่วยบรรเทาอาการหนาวสั่น และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในระดับหนึ่ง เช่น

  • สังเกตอาการตัวเองอย่างใกล้ชิด ว่ามีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดท้อง หรือหายใจลำบากร่วมด้วยหรือไม่
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อตัวร้อนหรือมีไข้
  • สวมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่น แต่อย่าห่มหนาจนเกินไปหากมีไข้สูง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ งดออกกำลังกายหนักเมื่อร่างกายไม่สบาย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ในระยะยาว การดูแลสุขภาพพื้นฐานให้ดีอย่างต่อเนื่อง เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพประจำปี จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการหนาวสั่นได้

 

สรุปบทความ

อาการหนาวสั่นไม่ใช่อาการที่ห่มผ้าแล้วจะหายดีเสมอไป แต่เป็นอาการสำคัญที่สามารถบ่งบอกถึงภาวะผิดปกติของร่างกาย หรือเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ ได้ ตั้งแต่การติดเชื้อทั่วไป ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ไปจนถึงความผิดปกติของต่อมไทรอยด์

วิธีป้องกันและดูแลที่ดีที่สุด คือการใส่ใจสุขภาพพื้นฐานของตัวเอง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันที่ดี แต่ถ้าหากมีอาการเจ็บป่วยบ่อยครั้ง หรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลในอนาคต การมี ประกันสุขภาพดีๆ สักกรมธรรม์ ก็ช่วยลดความกังวลด้านค่าใช้จ่าย และทำให้ตัดสินใจไปพบแพทย์ได้เร็วขึ้นเมื่อมีอาการผิดปกติ

คำถามที่พบบ่อย

ถ้ามีอาการหนาวสั่นบ่อยๆ โดยที่วัดไข้แล้วไม่มีไข้ หรือมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เหนื่อยง่าย ผิวแห้ง น้ำหนักขึ้น ท้องผูก หรืออ่อนเพลียผิดปกติ อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหรือระบบเผาผลาญ เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ ไม่ควรปล่อยไว้นาน
ถ้ามีหนาวสั่นร่วมกับไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะมาก หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ปัสสาวะแสบขัด หรือรู้สึกอ่อนเพลียมากผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรงหรือภาวะที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มักมีอาการหนาวสั่น มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกมาก หิวบ่อย เวียนหัว หรือรู้สึกสับสน หากสงสัยว่าน้ำตาลต่ำควรวัดระดับน้ำตาลทันที และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ประจำตัว ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงต้องไปโรงพยาบาลทันที
หนาวธรรมดามักเกิดจากอากาศเย็น พอใส่เสื้อหรือห่มผ้าก็อุ่นขึ้นและดีขึ้น แต่ “หนาวสั่น” จะรู้สึกตัวสั่น ฟันกระทบกัน ขนลุก และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย หรือปวดท้อง ถ้าห่มผ้าแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นแปลกร่วมด้วยควรสังเกตให้ดี และไปพบแพทย์หากไม่สบายใจ
ถ้ามีอาการหนาวสั่นบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมาก เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเจ็บป่วยบ่อย ควรไปตรวจสุขภาพเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน หรือโรคเรื้อรังบางชนิดได้
สำหรับบางคนอาจรู้สึกว่าอาการไข้หรือหนาวสั่นทั่วไปรักษาได้ไม่ยาก แต่ในความเป็นจริง ถ้าต้องนอนโรงพยาบาลหรือตรวจเพิ่มเติม ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าที่คิด การมีประกันสุขภาพจึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้ตัดสินใจไปพบแพทย์ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษามากจนเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยบ่อยหรือมีโรคประจำตัว

สรุปบทความ

อาการหนาวสั่น เป็นมากกว่าแค่ความรู้สึกหนาว แต่เป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายที่อาจบ่งบอกถึงภาวะผิดปกติหลายอย่าง ตั้งแต่การติดเชื้อทั่วไป น้ำตาลในเลือดต่ำ ไปจนถึงความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ การสังเกตอาการร่วม เช่น ไข้สูง หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรืออ่อนเพลียมากผิดปกติ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจไปพบแพทย์

วิธีดูแลตัวเองที่ดีที่สุดคือ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากเจ็บป่วยบ่อยหรือกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล การมี ประกันสุขภาพ ที่เหมาะสมก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และทำให้กล้าตัดสินใจไปพบแพทย์ได้เร็วขึ้น เมื่อร่างกายส่งสัญญาณผ่าน “อาการหนาวสั่น” ว่าควรใส่ใจสุขภาพให้มากกว่าเดิม