Detail
Discount
Help

 >  บทความ  >  วางแผนภาษีมรดกให้ดี ไม่ส่งต่อภาระให้ลูกหลาน

วางแผนภาษีมรดกให้ดี ไม่ส่งต่อภาระให้ลูกหลาน

2 ต.ค. 2568

เมื่อพูดถึง “มรดก” หลายคนอาจนึกถึงทรัพย์สินที่เจ้าของสะสมมาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน เงินฝาก หุ้น หรือทรัพย์สินรูปแบบอื่น ๆ ที่ตั้งใจส่งต่อให้ลูกหลานได้ใช้ต่อไป แต่สิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยอาจลืมคิดก็คือ เรื่องภาษีมรดกและภาษีการให้ ซึ่งสามารถกลายเป็นภาระที่ทายาทต้องรับผิดชอบ หากไม่มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างเหมาะสม การวางแผนภาษีมรดกจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วย ลดภาระภาษีของทายาท แล้ว ยังช่วยให้การส่งต่อทรัพย์สินทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษามูลค่าทรัพย์สินไว้ได้เต็มที่ และป้องกันข้อพิพาทในครอบครัวได้อีกด้วย

 

หลักง่ายๆ ในการวางแผนภาษีมรดก

 

1. ทำบัญชีทรัพย์สินอยู่เสมอ

ขั้นแรกของการวางแผนภาษีมรดกคือ การทำบัญชีทรัพย์สิน ให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน หลายครั้งที่เมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ครอบครัวกลับไม่รู้ว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน หรือมีภาระหนี้ค้างอยู่หรือไม่ ทำให้การจัดการมรดกยุ่งยากและอาจเกิดความขัดแย้ง

สิ่งที่ควรทำคือ:
• จัดทำ บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน แยกประเภท เช่น เงินฝาก หุ้น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ และหนี้เงินกู้
• จดรายละเอียดแหล่งเก็บ เช่น เลขบัญชีธนาคาร เลขที่ดิน เอกสารสิทธิ์
• อัปเดตข้อมูลทุกปี หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น ซื้อบ้านใหม่ ขายที่ดิน หรือกู้เงิน

เมื่อมีบัญชีทรัพย์สินที่ชัดเจน จะช่วยให้ผู้รับมรดกทราบข้อมูลที่แท้จริง ลดปัญหาการตกหล่น และยังช่วยให้เจ้าของสามารถวางแผนการส่งต่อได้ง่ายขึ้น

 

2. ศึกษากฎหมายภาษีมรดก และภาษีจากการให้

ในประเทศไทย มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการโอนทรัพย์สินระหว่างบุคคล 2 ประเภทหลัก ได้แก่

ภาษีมรดก (Inheritance Tax)
• เก็บจาก “ทายาท” ที่ได้รับมรดก
• กรณีได้รับมรดกเกิน 100 ล้านบาทต่อคน จะต้องเสียภาษี
• อัตราภาษี 5% สำหรับบุตรโดยชอบธรรม หรือบิดามารดา และ 10% สำหรับบุคคลอื่น
ภาษีการให้ (Gift Tax)
• เก็บจากการโอนทรัพย์สินให้กันในขณะที่เจ้าของยังมีชีวิตอยู่
• ปัจจุบันมีการยกเว้นวงเงิน เช่น บิดามารดามอบให้บุตรได้ปีละ 20 ล้านบาทโดยไม่ต้องเสียภาษี
• หากเกินจากวงเงิน ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

การเข้าใจทั้งสองกฎหมายนี้จะช่วยให้เจ้าของทรัพย์สินสามารถ “เลือกวิธีการส่งต่อ” ที่เหมาะสม เช่น เลือกทยอยโอนในขณะมีชีวิต หรือมอบในรูปแบบมรดกภายหลังเสียชีวิต

 

3. วางแผนการมอบมรดก

เมื่อรู้ว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง และกฎหมายภาษีมีข้อกำหนดอย่างไร ขั้นต่อมาคือ การวางแผนการมอบมรดก โดยคำนึงถึงทั้งประโยชน์สูงสุดของทายาท และการประหยัดภาษี

แนวทางที่นิยม เช่น
ทำพินัยกรรม กำหนดชัดเจนว่าใครจะได้รับทรัพย์สินใดบ้าง เพื่อป้องกันความขัดแย้ง
ทยอยโอนทรัพย์สิน โดยใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีการให้ประจำปี เช่น มอบเงินสด หุ้น หรืออสังหาฯ ในวงเงินที่กฎหมายกำหนด
ใช้กองมรดกครอบครัว (Family Trust / Holding Company) ซึ่งเป็นวิธีที่ครอบครัวใหญ่ใช้เพื่อให้การถือครองและบริหารทรัพย์สินรวมศูนย์ ลดปัญหาการแบ่งแยก

การวางแผนเหล่านี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและกฎหมาย เพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างทรัพย์สินและความต้องการของครอบครัว

 

4. ส่งต่อมรดกในรูปแบบที่ได้รับประโยชน์ทางภาษี

นอกจากการแบ่งทรัพย์สินตรง ๆ แล้ว ยังมีเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้การส่งต่อมรดกทำได้สะดวกและลดภาระภาษี เช่น

ประกันชีวิต: ทายาทได้รับเงินชดเชยโดยตรง ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการศาล และมักได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: เมื่อถึงเวลา ทายาทสามารถรับผลประโยชน์ตามกฎเกณฑ์ โดยมีสิทธิ์ยกเว้นภาษีบางกรณี
ทรัพย์สินที่ไม่จดทะเบียน: ทรัพย์สินที่ไม่ต้องจดทะเบียนสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ (Unregistered Property) จะไม่อยู่ในเกณฑ์เสียภาษีมรดก เช่น ของสะสม เครื่องประดับ ทองคำ เงินสด
 

สรุปบทความ

การวางแผนภาษีมรดกไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกครอบครัวควรใส่ใจ เพราะมรดกไม่ได้มีแค่ทรัพย์สิน แต่ยังมีภาระภาษีและความขัดแย้งที่อาจตามมา หากวางแผนล่วงหน้า ทำบัญชีทรัพย์สิน ศึกษากฎหมาย และใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม จะช่วยให้การส่งต่อเป็นไปอย่างราบรื่น ทายาทได้รับมรดกเต็มมูลค่า

ประกันที่เกี่ยวข้อง

 

Beyond Protection 989

เป็นชื่อทางการตลาดของแบบประกันสะสมทรัพย์ 89/9