Detail
Discount
Help

 >  บทความ  >  การป้องกันโรคเบาหวาน ทำได้ไม่ยาก เริ่มได้จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

การป้องกันโรคเบาหวาน ทำได้ไม่ยาก เริ่มได้จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

20 พ.ย. 2568

โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญมักเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารหวานจัด ไม่ค่อยขยับร่างกาย น้ำหนักเกิน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ แม้อาการระยะแรกจะไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจส่งผลกระทบต่อหัวใจ ดวงตา ไต เส้นประสาท และคุณภาพชีวิตโดยรวมได้

ข่าวดีคือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถ “ป้องกันได้” ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างค่อยเป็นค่อยไป บทความนี้จะพาไปดู 5 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้จริง และเริ่มทำได้ทันทีในทุกวัน

 

การป้องกันโรคเบาหวานสำคัญอย่างไร?

โรคเบาหวานไม่ได้มีผลแค่ “ค่าน้ำตาลในเลือดสูง” เท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ตาบอด ไตวายเรื้อรัง และแผลเรื้อรังที่หายช้า การป้องกันตั้งแต่วันนี้จึงช่วยลดโอกาสเกิดโรคร้ายแรงเหล่านี้ และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

เป้าหมายของการป้องกันโรคเบาหวานคือการดูแล 3 เรื่องหลัก ได้แก่

  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
  • ลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และความเครียดเรื้อรัง
 

ควบคุมอาหารให้เหมาะสม: เลือกกินอย่างฉลาดเพื่อสุขภาพที่ดี

อาหารคือปัจจัยสำคัญที่สัมพันธ์โดยตรงกับระดับน้ำตาลในเลือด การเลือกกินให้เหมาะสมจึงเป็นหัวใจหลักของการป้องกันโรคเบาหวาน

หลักการกินเพื่อลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

  • ลดน้ำตาลและเครื่องดื่มหวาน เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก น้ำหวาน ขนมหวาน ให้จำกัดปริมาณน้ำตาลไม่เกินวันละประมาณ 6 ช้อนชา หรือเท่าที่แพทย์/นักโภชนาการแนะนำ
  • ลดแป้งขัดสี เช่น ข้าวขาว เส้นขาว ขนมปังขาว ซึ่งทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว ควรเปลี่ยนเป็น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี หรือขนมปังโฮลวีท
  • เพิ่มผักในทุกมื้อ โดยเฉพาะผักใบเขียวและผักหลากสี เพราะมีใยอาหารสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและช่วยให้อิ่มนานขึ้น
  • เลือกโปรตีนดี เช่น ปลา เต้าหู้ ไข่ ไก่ไม่ติดหนัง และถั่วต่าง ๆ ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงของทอดและอาหารมันจัด โดยเฉพาะอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ควรเลือกใช้น้ำมันพืชที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันมะกอก ในปริมาณเหมาะสม

การปรับโภชนาการในลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน แต่ยังดีต่อหัวใจ ความดันโลหิต และช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ขยับร่างกายให้มากขึ้น

การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน และช่วยลดไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันรอบเอวซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2

แนวทางออกกำลังกายเพื่อป้องกันเบาหวาน

  • ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ด้วยกิจกรรมความหนักระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก
  • ขยับตัวระหว่างวันให้มากขึ้น เช่น ลุกยืนยืดเส้นทุก 1 ชั่วโมง หากทำงานออฟฟิศ ใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือเดินไปซื้อของใกล้บ้านแทนการขับรถ
  • เพิ่มการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกน้ำหนักเบา ๆ หรือใช้ยางยืดออกกำลังกาย 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและการเผาผลาญ

ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักตั้งแต่วันแรก เพียงเริ่มจากการขยับร่างกายให้มากขึ้นทีละนิด และทำอย่างต่อเนื่อง ก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้แล้ว

 

พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้เต็มที่

หลายคนอาจไม่รู้ว่า การนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เพราะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหลายชนิดที่ควบคุมความหิว ความอิ่ม และการทำงานของอินซูลิน

แนวทางการนอนเพื่อสุขภาพที่ดี

  • นอนหลับให้ได้ประมาณ 7–9 ชั่วโมงต่อคืน สำหรับผู้ใหญ่ และพยายามเข้านอน–ตื่นนอนให้เป็นเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน
  • เลี่ยงจอมือถือ/คอมพิวเตอร์ก่อนนอน อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะแสงจากหน้าจอมีผลต่อฮอร์โมนการนอน
  • จัดห้องนอนให้น่านอน เช่น ปรับให้ห้องมืด เงียบ และอุณหภูมิพอดี ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ก่อนนอน เพราะรบกวนคุณภาพการนอน แม้บางครั้งจะรู้สึก “ง่วง” แต่การหลับมักไม่ลึกและไม่ต่อเนื่อง

เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนเพียงพอ ระบบเผาผลาญและการทำงานของอินซูลินจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะยาว

 

ตรวจสุขภาพประจำปี: รู้เท่าทันก่อนเกิดโรค

การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้เรารู้ทัน ภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

การตรวจสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน

  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (FBS) เพื่อดูว่าน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือเริ่มสูงขึ้น
  • ตรวจค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม (HbA1c) เป็นค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลย้อนหลังประมาณ 3 เดือน ช่วยประเมินแนวโน้มความเสี่ยงได้ชัดเจนขึ้น
  • ตรวจปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิต ไขมันในเลือด และค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เพราะมักสัมพันธ์กับโรคเบาหวาน

หากตรวจพบว่าอยู่ในภาวะก่อนเบาหวาน การรีบปรับพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการพักผ่อน สามารถช่วยลดโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานได้อย่างมาก

 

หลีกเลี่ยงความเครียดเรื้อรัง: จัดการจิตใจให้ผ่อนคลาย

ความเครียดเรื้อรังส่งผลโดยตรงต่อฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเมื่อสูงขึ้นบ่อย ๆ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตามไปด้วย และอาจนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะยาว

เทคนิคง่าย ๆ ในการดูแลใจเพื่อลดความเครียด

  • ฝึกหายใจลึก ๆ ช้า ๆ วันละไม่กี่นาที ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลายและลดความตึงเครียด
  • ทำสมาธิหรือฝึกสติ ประมาณ 10–15 นาทีต่อวัน ช่วยให้ใจนิ่งและรับมือกับอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือใช้เวลากับคนในครอบครัว
  • ออกกำลังกายเพื่อคลายเครียด เช่น เดินเล่น โยคะ หรือยืดเหยียดเบา ๆ ช่วยทั้งสุขภาพกายและใจไปพร้อมกัน

เมื่อสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็มักดีตามไปด้วย ช่วยลดโอกาสเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด รวมถึงโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน

 

สรุป: เริ่มต้นดูแลตัวเองวันนี้ เพื่อป้องกันโรคเบาหวานในอนาคต

แม้โรคเบาหวานจะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่ เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดโรคได้ ด้วยการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การพักผ่อน การตรวจสุขภาพ และการดูแลสภาพจิตใจ

การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในวันนี้ เช่น ลดหวานลงหนึ่งแก้ว เดินเพิ่มอีกวันละ 10–15 นาที หรือเข้านอนให้เร็วขึ้น ก็อาจช่วยป้องกันโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ หากมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของโรคเบาหวาน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ

คำถามที่พบบ่อย

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก และตรวจสุขภาพเป็นประจำ ยิ่งเริ่มดูแลเร็ว โอกาสป้องกันก็ยิ่งสูงขึ้น
หากมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว ความเสี่ยงของคุณจะสูงขึ้นกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นแน่นอน การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และดูแลน้ำหนักให้เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้มาก
เน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกความหนักปานกลาง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ร่วมกับการฝึกกล้ามเนื้อ 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ เลือกกิจกรรมที่ทำได้ต่อเนื่องและเหมาะกับสภาพร่างกาย หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม
สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่มีโรคประจำตัว มักแนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปีรวมถึงค่าน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์เห็นสมควร แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน มีคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน หรือความดันสูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดความถี่ในการตรวจที่เหมาะสม
ภาวะก่อนเบาหวานคือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์โรคเบาหวาน ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่าควรเริ่มปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง เช่น ลดน้ำตาล ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย และติดตามผลเลือดตามแพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็นเบาหวานเต็มรูปแบบ
ไม่จำเป็นต้องงดหวาน 100% แต่ควร “จำกัดปริมาณ” และเลือกแหล่งน้ำตาลที่ดีขึ้น เช่น ลดเครื่องดื่มหวาน เลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัด และควบคุมปริมาณให้เหมาะสม หากมีโรคประจำตัวหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพิ่มเติม
เริ่มจากสังเกตพฤติกรรมของตัวเองเรื่องการกิน การออกกำลังกาย น้ำหนักตัว และการพักผ่อน จากนั้นปรับทีละเรื่องให้เหมาะสม ควบคู่กับการไปตรวจสุขภาพเช็กระดับน้ำตาลในเลือด หากผลเริ่มสูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนดูแลอย่างเหมาะสมกับร่างกายของคุณ

สรุปบทความ

การป้องกันโรคเบาหวาน เริ่มต้นได้จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร ลดหวาน ลดแป้งขัดสี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสุขภาพประจำปี และดูแลไม่ให้เครียดเรื้อรัง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แม้ดูเล็กน้อย แต่เมื่อทำต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ

แม้โรคเบาหวานจะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่การดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้จะช่วยชะลอหรือป้องกันการเกิดโรคได้ เริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมทีละอย่าง เช่น ลดเครื่องดื่มหวาน เพิ่มการเดินในแต่ละวัน และเข้านอนให้เร็วขึ้น หากกังวลเรื่องความเสี่ยงของตนเอง อย่าลังเลที่จะ ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อวางแผนดูแลที่เหมาะกับร่างกายของคุณ และชวนคนรอบตัวมาดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน เพื่อชีวิตที่แข็งแรงและห่างไกลเบาหวานในระยะยาว